วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

6 เหตุผลที่ควรลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก่อนอายุ 30 ปี

เหตุผลต่างๆ ที่นักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ควรจะลงทุนก่อนอายุ 30 ปี 


   เคยมีคำกล่าว่าอายุของคนเราเป็นเพียงตัวเลขไม่สำคัญ แต่สำหรับการลงทุนแล้วอายุเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ ครับ เพราะถ้ายิ่งลงทุนในช่วงอายุน้อยๆ ผลตอบแทนที่จะได้รับยิ่งมีสูง หรืออาจกล่าวได้ว่าเริ่่มต้นเร็ว จะได้ผลตอบแทนคืนกลับมาโดยเร็วและสม่ำเสมอ  วันนี้ทางเรา มี 6 เหตุผลที่ควรลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียม หรืออาคารชุด ก่อนคุณอายุ 30 มาฝากครับ

     1. เป็นที่อยู่อาศัย คนวัยก่อน 30 หลายคนทำงานไกลบ้าน มักจะพักอยู่หอพักและเสียค่าเช่าทุกเดือน ซึ่งจำนวนค่าเช่าที่เสียไป สามารถนำมาผ่อนที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียม หรืออาคารชุดได้

     2. เป็นการกู้ยืมอัตราดอกเบี้ยต่ำ ระยะยาว ดอกเบี้ยของบ้านหรือคอนโดมิเนียม คือดอกเบี้ยที่น้อยที่สุดกับเงินก้อนใหญ่และมีระยะเวลาในการผ่อนชำระนานที่สุด การผ่อนบ้านหรือคอนโดมิเนียม มีระยะเวลาในสัญญาสูงสุดนานถึง 30 ปี และด้วยอัตราของดอกเบี้ยที่หลากหลาย การซื้ออสังหาริมทรัพย์จึงไม่ใช่ภาระที่หนักอึ้ง

     3. ปล่อยเช่าได้ (Passive Income) อสังหาริมทรัพย์มีข้อดีที่สุดคือเป็นทรัพย์สินถาวรและมีมูลค่าเพิ่มตลอดเวลา ยิ่งซื้อบ้านหรือคอนโดใหม่ และปล่อยเช่าเมื่อคุณอายุน้อยเท่าไหร่ รายรับที่ได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย เช่น ซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม ในราคา 2 ล้านบาท ปล่อยเช่าเดือนละ 15,000 บาท สินทรัพย์ชิ้นนี้จะทำรายได้ 180,000 บาท/ปี และอาจเพิ่มได้เรื่อยๆ ตามศักยภาพของทำเล หากปล่อยเช่าเมื่ออายุ 25ปี เมื่ออายุ 30 ปี จะมีรายได้จากคอนโดมิเนียมแห่งนี้แล้ว 900,000 บาท ทำเงินได้เกือบล้าน เมื่ออายุ 30 ปี เห็นแบบนี้แล้วน่าสนใจใช่ไหม

     4. เป็นมรดก อสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่คนทุกยุคทุกสมัยเลือกที่จะนำมาเป็นสินทรัพย์ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและจุดเด่นอีกจุดหนึ่งคือนำมาเป็นมรดกส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้ จะเห็นได้จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายคนที่ได้รับมรดกจากพ่อแม่และบรรพบุรุษทั้งที่ดิน บ้าน โรงแรม เป็นต้น แล้วสามารถนำทรัพย์สินเหล่านั้นมาพัฒนาหรือขายต่อเพื่อก่อร่างสร้างตัวจากอสังหาริมทรัพย์จนประสบความสำเร็จในอนาคตได้

     5. เป็นหลักประกันชั้นเยี่ยม อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันที่ทุกสถาบันการเงินอ้าแขนรับหากต้องการเงินลงทุนก้อนใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในมือนั้น จะแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้อย่างง่ายดาย เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน ยิ่งในคนอายุน้อยๆการเปลี่ยนแปลงทางหน้าที่การงานหรือความผิดพลาดทางธุรกิจคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้

     6. เป็นการลงทุนที่ชนะเงินเฟ้อ เนื่องจากในปัจจุบันปัญญาเงินเฟ้อเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะลดทอนมูลค่าเงินในกระเป๋าของท่านให้มีค่าลดน้อยลง การลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถเอาชนะกับปัญหาเงินเฟ้อได้คือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บางคนอาจจะบอกว่าก่อนอายุ 30 ปี จะมีเงินพอได้อย่างไรที่จะนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงหลักแสนหลักล้าน เพราะคนส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้ทำงานประจำและเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินไม่มากพอที่จะลงทุน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้มีการแก้ปัญหาออกไป เนื่องจากนวัตกรรมทางด้านการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปสามารถนำอสังหาริมทรัพย์แบ่งออกเป็นหน่วยย่อยๆ ได้เพื่อให้คนหลายๆคนสามารถเข้ามาถือครองในอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้นเป็นการถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันได้ เราเรียกการลงทุนแบบนี้ว่า การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงทุนหลักแสน หลักล้าน เพียงแค่มีเงินลงทุนขึ้นต่ำ 500 บาท ขึ้นไป สามารถลงทุนได้

     การลงทุนก่อนอายุ 30 ปี เป็นสิ่งที่ดีและควรทำที่สุดด้วยเหตุผลต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว แต่คนวัยนี้มักมีข้อจำกัดคือยังไม่สามารถหาทุนมาใช้กับอสังหาริมทรัพย์ได้ เพราะช่วงเวลา 2 – 3 ปีแรก รายได้จากการทำงานก็ไม่ได้มากมายและอำนาจของเงินที่ได้ด้วยตัวเองก็ช่างเย้ายวน ดังนั้นเมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆจึงควรตั้งสติให้มั่นและเก็บเงินเก็บทองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่ออนาคตของคุณ



แหล่งที่มาข้อมูล : terrabkk.com,reviewyourliving.com, cmc.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การเลือกที่อยู่อาศัยอย่างไรให้เหมาะกับคุณ

การเลือกที่อยู่อาศัย ให้เหมาะสมกับคุณ


 สำหรับในบ้านเมืองเรา ประเภทของที่อยู่อาศัยมีหลากหลายประเภทให้เลือกสรร ได้ตามงบประมาณที่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด รวมไปถึงประเภทของคอนโดใหม่ บ้านมือสอง  ถือว่าเพียงพอแล้ว เพื่อรองรับกับจำนวนของประชากรภายในประเทศ ตลอดจนชาวต่างชาติที่เข้ามา ทำงาน และอยู่อาศัย  เมื่อคุณต้องการที่จะซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมจึงต้องพยายามและพิจารณาในรายละเอียดให้รอบด้าน 

ซื้อบ้าน / คอนโด
    การเลือกที่อยู่อาศัยอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะสามารถช่วยให้คุณได้ที่พักอาศัยที่ต้องการในราคาที่ดี ก่อนซื้อหรือเช่าบ้าน คุณจึงต้องพิจารณาปัจจัยเหตุลผลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ทำเลที่ตั้ง งบประมาณ ประเภทที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวก

ประเภทของที่อยู่อาศัย 
1.บ้านเดี่ยว(Single-Family Homes) เป็นแบบบ้านที่อยู่อาศัยที่มีคนส่วนใหญ่นิยมมากที่สุด ลักษณะเป็นบ้านที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆมีเนื้อที่กว้างขวางและรั้วรอบขอบชิด ทำให้ผู้อยู่อาศัยนั้นได้บรรยากาศของความเป็นส่วนตัว และห่างไกลจากการรบกวนจากเสียงของเพื่อนบ้าน บ้านชนิดนี้ปกติแล้จะมีขนาดใหญ่และเล็กแตกต่างกัน สามารถจัดตกแต่งได้ในรูปแบบ ต่างๆ ตามฐานะและรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ
  2. อาคารพาณิชย์หรือตึกแถว(Shop Houses) เป็นแบบบ้านอีกลักษณะหนื่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบชุมชนเมือง เพราะ นอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้แล้ว ยังสามารถดัดแปลงให้เป็นสถานที่ทำการค้าขาย หรือประกอบธุรกิจอื่นได้ด้วย อาคารแบบนี้มักจะมีเนื้อที่แคบจึงนิยมก่อสร้างไว้หลายๆชั้น
  3. ทาวน์เฮาส์(Town house) เป็นบ้านที่มีลักษณะเหมือนกับตึกแถว บ้านประเภทนี้มักจะตั้งอยู่ในเมือง ซึ่งต่างกับตึกแถวตรงที่มีบริเวณหน้าบ้าน สามารถจัดเป็นสวนขนาดย่อมๆ และจอดรถได้ ทาวน์เฮ้าส์ ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบ 2-3 ชั้นใช้เนื้อที่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นที่ในชุมชนเมืองและมีราคาแพง
4. แฟลต หรืออาพาร์ตเม้นต์ (Flat or Apartment) เป็นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับอาคารพาณิชย์ คือ มีหลายๆชั้น แบ่งออกเป็นหลายยูนิตวัตถุประสงค์เพื่อให้เช่าปกติแล้วที่อยู่อาศัยแบบนี้ ค่าเช่ามักจะสูง เพราะตั้งอยู่ในทำเลดีและมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆความปลอดภัยครบ
  5. คอนโดมิเนียม / คอนโด (Condominium) หรืออาคารชุด เป็นอาคารที่มีหลายชั้น โดยแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องชุดจำนวนมาก ซึ่งภายในของห้อง ประกอบด้วยห้องนอน ห้องรับแขก ห้องนำ ฯลฯ อาคารห้องชุดแต่ละแห่งมักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนโดยทั่วไปแล้วอาคารชุดจะ ตั้งอยู่ในกลางเมืองหรือในที่ชุมชนที่มีการคมนาคมที่สะดวก อาคารชุดนั้นมีหลายประเภท ทั้งประเภทที่อยู่อาศัย (Residential Condominium)และประเภทสำนักงาน(Office Condominium)ผู้ซื้ออาคารชุดจะมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของอาคารชุดของตนและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินส่วนกลาง อันได้แก่ ห้องโถง ที่จอดรถ ลิฟต์ สนาม และทางเดิน เป็นต้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางผู้เป็นเจ้าของอาคารชุดจึงต้อง ร่วมกันรับผิดชอบ

   โดยหลักแล้ว การเลือกประเภทของที่อยู่อาศัย นอกจากจะดูจำนวนเงินที่คุณมีแล้ว ควรอย่างยิ่งที่คุณจะพิจารณาถึงภาพรวมของสิ่งปลูกสร้างที่คุณต้องการจะซื้อ เช่น ดูว่าอยู่ใกล้โรงเรียน คลินิก ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต แหล่งนันทนาการ และมีเครือข่ายคมนาคมที่สะดวก

ทำเลที่ตั้ง
   ทำเลของที่อยู่อาศัย ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องพิจารณาก่อนซื้อหรือเช่าบ้านสักหลัง คุณจะต้องพิจารณาปัจจัยด้านต่างๆที่สะดวกและเหมาะสมกับความต้องการของคุณและครอบครัวมากที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงนั้น มีตั้งแต่ ระยะทางจากบ้านไปที่ทำงาน โรงเรียนของลูกคุณ แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร ถนน และความสะดวกในการเดินทาง

สิ่งอำนวยความสะดวก 
   สิ่งอำนวยความสะดวกในละแวกบ้านนั้น ก็เป็นสิ่งที่คุณควรจะคำนึงถึง โครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมากจะจัดสรรสาธารณูปโภค ระดับเวิร์ลด์คลาส ไว้ให้บริการของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และสวนสาธารณะ สิ่งอำนวยความสะดวกทางด้านความบันเทิงและนันทนาการต่างๆ ถ้าหากโครงการนั้นๆ มีสถานีรถไฟใต้ดินหรือรถเมล์อยู่ด้วยก็ควรจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

ราคา 
   ผู้ซื้อก็ต้องกำหนดงบประมาณที่จะใช้ลงทุนในเรื่องที่อยู่อาศัย งบที่คุณตั้งไว้นั้น ถ้าหากคุณเป็นคนที่เก็บเงินเก่งและคิดจะซื้อบ้านด้วยเงินตนเองโดยที่ไม่ต้องกู้สินเชื่อจากธนาคารเลย นั่นก็ดีมากสำหรับคุณจะไม่ต้องมีภาระหนี้สินผูกพัน แต่ถ้าหากคุณมีเงินก้อน แต่ไม่พอที่จะซื้อบ้าน ธนาคารก็มีแพคเกจดี ๆ ไว้คอยบริการคุณ ในอัตราดอกเบี้ยหลายแบบและจำนวนของการผ่อนชำระก็ยาวถึง 30 ปี  ฉะนั้น การที่คุณจะตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัย คุณก็ควรจะรู้ว่าความสามารถในการซื้อและผ่อนชำระของคุณมีมากน้อยแค่ไหนก่อน จึงจะหาความเหมาะสมในการเริ่มเลือกที่พัก หากงบที่มีสูงมาก คุณอาจจะเลือกที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่มากขึ้นได้ เช่น มีฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสนามเทนนิส

แหล่งข้อมูล (นายหน้า ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ โบรกเกอร์)
   ที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ หรือที่เราเรียกว่าโบรกเกอร์ และนายหน้าในเมืองไทยนั้น มีสมาคมนายหน้าของอสังหาริมทรัพย์ (REBA) ไว้คอยบริการ โดยที่โบรกเกอร์เหล่านี้ จะสามารถช่วยให้ปัญหายุ่งยากต่างๆ ในการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของคุณกลายเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้คุณยังประหยัดเวลาและเงินในการเลือกที่พักอาศัยที่ต้องการได้ด้วย ผู้ให้คำปรึกษาเหล่านี้จะสามารถตอบสนองในความต้องการของผู้ซื้อแต่ละรายได้เป็นอย่างดี

สิ่งที่ผู้ซื้อชาวต่างชาติควรทำ
   หลังจากระบุงบ ทำเล และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องการได้แล้ว ผู้ซื้อชาวต่างชาตินั้นสามารถขอคำปรึกษาจากนายหน้าหรือโบรกเกอร์ต่างๆที่น่าเชื่อถือ เพื่อจะเลือกที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมมากที่สุด จากนั้นจึงประเมินค่าของสินทรัพย์ในการขอสินเชื่อ ธนาคารและแหล่งสถาบันทางการเงินจำนวนมากให้สินเชื่อกับชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสม จากนั้นก็จะเป็นเรื่องของการทำเอกสารการซื้อขายต่างๆ โดยผู้ซื้อนั้น สามารถขอตรวจสอบที่พักอาศัยก่อนที่จะเซ็นต์รับได้ด้วย

สรุป
   เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวของไทยส่งผลให้เกิดความต้องการด้านที่อยู่อาศัยในหมู่ผู้ซื้อ ทั้งชาวไทยและผู้ซื้อชาวต่างชาติ ก็สามารถซื้อหรือเช่าที่พักได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากทำตามแนวทางหาที่พักที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้ซื้อควรพิจารณาเคล็ดลับและแนวทางหาที่พักเหล่านี้ให้รอบคอบเพื่อหาที่พักอาศัยที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เจาะลึก 8 กลยุทธ์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ฮ็อตฮิตของโลก

กลยุทธ์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ฮ็อตฮิตของโลก

คนส่วนใหญ่เมื่อคิดจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กัน มักจะเข้าใจว่ากลยุทธ์การลงทุน จะมีเพียงแค่ซื้อมาแล้วขายไป หรือไม่เช่นนั้น ก็ซื้อเพื่อนำมาให้ลูกค้าเช่าเพียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกใช้กันอยู่นั้น กลับมีอยู่มากมาย หลากหลายวิธี กว่าที่รับรู้กันมาก ซึ่งเฉพาะในแบบที่สามารถประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้นั้น ก็มีอยู่ถึง 8 กลยุทธ์ด้วยกัน ซึ่งกลยุทธ์แต่ละแบบ มีแนวคิด วิธีการจะเป็นอยางไร และเหมาะจะนำมาใช้เมื่อไหร่ ตอนไหน และในโอกาสนี้ ขอนำมาเจาะลึก ให้ผู้อ่านนั้นสามารถได้มองเห็นอย่างทะลุปุโปร่ง ดังนี้

            1. ซื้อและถือไว้ (Buy and Hold) เป็นกลยุทธ์ของลงทุนเก่าแก่ที่นิยมทำกันมานาน เพื่อเก็บเกี่ยวในผลประโยชน์จากการปรับเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการซื้อที่ดินเปล่าและถือเก็บเอาไว้รอเวลา กฎกำปั้นทุบดินของเหล่าบรรดาเซียนอสังหาฯ เรียกกันแบบนี้ว่า “กฎ 77” นั่นคือให้ซื้อที่ดินอย่างน้อย 7 แปลง และถือครองไว้ 7 ปีขึ้นไป แต่ก็มีกูรูบางคนได้แนะนำให้ซื้อที่ดินถึง 10 แปลงก็มี
           หลักการคิดของกลยุทธ์แบบนี้ คือจะไม่เน้นขายอสังหาริมทรัพย์ทำกำไร เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขาย(Capital Gain Tax) แต่ที่จะเน้นเก็บเกี่ยวในผลประโยชน์จากการเพิ่มค่าของความเป็นเจ้าของ (Equity Build-up) ไว้ใช้ในยามที่เราแก่เฒ่า หรือในช่วงที่ต้องออกจากที่ทำงาน หรือบางคนก็อาจตั้งใจที่จะเก็บตกทอดเป็นมรดกไว้ให้ลูกหลาน
            ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ซื้อและถือไว้นี้ คือ อยู่ตรงที่ธนาคารมักจะไม่ปล่อยให้กู้ เวลาจะลงทุนจึงต้องใช้เงินสดของตัวเองเป็นหลัก ทั้งนี้แล้วกุญแจของความสำเร็จในกลยุทธ์แบบนี้ ก็คือจะต้องพยายามทำกำไรให้ได้ตั้งแต่ตอนที่คุณซื้อมาเลย โดยหาทางซื้อให้ได้ในราคาต่ำกว่าตลาดตั้งแต่เริ่มแรก ส่วนการเพิ่มค่าที่จะเกิดขึ้นตามมานั้น ให้ถือเป็นส่วนโบนัสที่พึงจะได้รับจากการถือครอง

            2. ซื้อเพื่อนำมาปล่อยเช่า(Buy to Rent) ถือเป็นรูปแบบของการลงทุนที่คนนิยมทำกันมากสุดในปัจจุบัน ทั้งนี้ขณะที่กลยุทธ์การซื้อและถือไว้ เหมาะที่ใช้กับอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า  แต่กลยุทธ์แบบซื้อมาปล่อยเช่านี้ จะเหมาะสมที่นำมาใช้กับบ้านและคอนโด เป็นสำคัญ
             สาเหตุสำคัญ ก็เพราะที่อยู่อาศัยคือปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับทุกคน การปล่อยเช่านั้นจะทำได้ง่าย และได้ค่าเช่าสูง จึงสามารถสร้างกระแสรายได้(Cash Flows) ในรูปผลตอบแทนค่าเช่าแต่ละปี (Rental Yield) ได้อย่างน่าพอใจเลยทีเดียว

            3. ซื้อมาขายไป (Trading) หรือภาษาลงทุนนิยมเรียกกันว่า “ฟลิป(Flip)” เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในช่วงตลาดของอสังหาริมทรัพย์ขาขึ้น (Rising Real Estate Market) เป็นอย่างยิ่ง วิธีการก็คือเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง จากนั้นก็ให้รีบขายต่อให้ผู้อื่นเพื่อทำกำไรในที่สุด
           กลยุทธ์แบบนี้ มักจะนิยมทำกันอย่างมาก กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายใหม่ ที่ยังไม่ได้สร้าง โดยเฉพาะโครงการในประเภทของคอนโดมิเนียม เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มาก แถมตอนขายทำกำไร ยังไม่ต้องเสียค่าโอนและภาษีอีกด้วย
           แต่ถ้าหากนำไปประยุกต์ใช้กับอสังหาฯ ที่สร้างเสร็จแล้วเมื่อไหร่ จะมีข้อจำกัดเกิดขึ้น นั่นคือจะมีค่าใช้จ่ายในของเรื่องภาษีและค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการถือครองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะส่งผลให้กำไรที่พึงได้ ถูกลิดรอนลง
           เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้ขายง่ายและได้ราคาดีขึ้น นั่นก็คือก่อนจะขาย ให้นำเอาอสังหาฯ มาซ่อม ปรับปรุง ปะหน้าทาแป้งเล็กๆ น้อยๆ ให้ดูดีเสียก่อน เช่นตัดหญ้า ทำความสะอาดพื้น จัดสวน หรือทาสี ฯลฯ โดยเน้นทำในสิ่งเล็กๆ น้อยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก แต่สามารถอัพเกรดตัวอสังหาริมทรัพย์ให้ดูดีมากๆ ได้
           แม้ปัจจุบันกลยุทธ์ฟลิปแบบนี้ จะทำกันน้อยกว่ากลยุทธ์ซื้อมาปล่อยเช่าก็ตาม แต่ก็มีแนวโน้มที่จะทวีบทบาทน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง โดยล่าสุดจากการสำรวจกลยุทธ์ลงทุนบ้านในประเทศสหรัฐฯ ในปี 2557 พบว่ากลยุทธ์ฟลิป ขยายตัวในอัตราสูงมากขึ้น

               4. ชุบชีวิตของอสังหาริมทรัพย์ขึ้นใหม่อีกครั้ง(Rejuvenations) กลยุทธ์แบบนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาประยุกต์ใช้งานกับอสังหาริมทรัพย์เก่า ซึ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ทำเลดีๆ โดยจะมีข้อจำกัดคล้ายกับการซื้อมาขายไปบ้านเก่า คือจะมีภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการถือครองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
              กุญแจของความสำเร็จของกลยุทธ์แบบนี้ ปกติจะขึ้นอยู่กับการชุบชีวิตบ้านให้กลับมาดูดีและสดใสใหม่ ซึ่งต้องทำให้ได้ในระยะเวลาสั้นสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปกติในประเทศสหรัฐฯ จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 6 สัปดาห์
               โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่จะต้องทำกับบ้านที่ซื้อมา จะมากว่าการซ่อมแซม หรือปะหน้าทาแป้ง แต่จะครอบคลุมไปถึงการปฏิสังขรณ์ (Renovate) ด้วย ทั้งนี้ส่วนของบ้านที่นิยมมากแบบว่ายกเครื่องใหม่กัน ก็คือส่วนของห้องครัวและห้องน้ำ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญสุดที่คนใช้พิจารณาซื้อบ้านกัน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเน้นเปลี่ยนเครื่องใช้ในครัว และสุขภัณฑ์ใหม่ กันเป็นหลัก แต่จะต้องระวังไม่ให้ก้าวล้ำไปเปลี่ยนแปลงในส่วนของโครงสร้างตัวบ้าน หรือส่วนอื่นๆ เพราะจะกระทบถึงต้นทุนและกำไรได้

               5. รีไฟแนนซ์ (Refinance) คนส่วนใหญ่มักจะคิดกันว่าเป็นแค่เพียงกลยุทธ์ระดมทุนเท่านั้น แต่ในแวดวงของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ จัดเป็นกลยุทธ์ในการลงทุนรูปแบบหนึ่ง เพราะทำแล้วสามารถเพิ่มกระแสเงินสดไหลเข้า (Cash Inflows) ได้ ทั้งในรูปของรายจ่ายดอกเบี้ยที่น้อยลง และยังสามารถระดมเงินสดเข้ามาได้ด้วย
                จริงๆ แล้ว กลยุทธ์รีไฟแนนซ์ สามารถทำได้ในหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการที่จะใช้เป็นสำคัญ สำหรับรูปแบบพื้นฐานที่นิยมทำกันมากสุด ก็คือการกู้หนี้ใหม่ดอกต่ำ เพื่อไปโป๊ะใช้หนี้เดิมที่มีดอกสูงกว่า ซึ่งจะส่งผลให้ประหยัดรายจ่ายดอกเบี้ยลงได้ในทันที
                รีไฟแนนซ์ ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้ด้วย ทั้งนี้หากพบว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตกำลังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น สิ่งที่ควรทำก็คือจะต้องรีบรีไฟแนนซ์ของเงินกู้ดอกเบี้ยลอยตัว(Floating Rate) ให้ไปเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่(Fixed Rate) แทน ซึ่งจะช่วยปกป้องผู้กู้จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เป็นอย่างดี
                แต่ในทางกลับกันหากพบว่าทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต กำลังมีแนวโน้มที่จะลดต่ำลง สิ่งที่ควรพึงกระทำก็คือต้องรีไฟแนนซ์เงินกู้จากดอกเบี้ยคงที่ มาเป็นแบบดอกเบี้ยลอยตัวแทน ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้กู้ได้รับประโยชน์ หากดอกเบี้ยเกิดลดลงขึ้นมา
                ในต่างประเทศ รีไฟแนนซ์ นั้น ยังสามารถใช้เป็นกลยุทธ์ในการระดมทุนเป็นเงินสดได้อีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีการกู้ยืมผ่านมาหลายๆ ปีแล้ว จะส่งผลให้สามารถกู้ยืมสินเชื่อที่มีวงเงินสินเชื่อสูงขึ้นได้

                6. ลงทุนกับสัญญาออปชั่น(Option) โดยแนวคิดการลงทุนของกลยุทธ์แบบนี้ ก็คือวางเงินเข้าไปซื้อ “ลีส ออปชั่น(Lease Option)” หรือ “สัญญาการเช่าบ้านที่ผูกสิทธิในการซื้อบ้านไว้” ซึ่งจะเป็นผลทำให้ได้สิทธิในการครอบครอง พร้อมสิทธิในการซื้อบ้านตามราคาและระยะเวลาที่ได้กำหนด ซึ่งเงินค่าออปชั่นนี้ จะถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าซื้อบ้านในอนาคตด้วย
                 และเมื่อเข้าถือสิทธิออปชั่นได้แล้ว ก่อนที่สัญญาจะครบกำหนดนั้น จะต้องไปโอนซื้อกันจริงๆ ซึ่งผู้ลงทุนก็จะนำไปขายทำกำไรต่อ ให้กับผู้ซื้อรายอื่นต่อไป

                7. สนับสนุนการเงินในระยะเริ่มต้นให้ผู้ซื้อแทนธนาคาร (Wraps) โดยแนวคิดของกลยุทธ์ ก็คือ เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับผู้ซื้อที่มีปัญหาในเรื่องของเครดิต หรือขาดคุณสมบัติ ที่ไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้ โดยผู้ขายเข้ามาทำหน้าที่แทนแบงค์ในระยะเริ่มแรก ในลักษณะให้เช่าซื้อ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าธนาคารเล็กน้อย และหลังจากผ่อนไประยะหนึ่งแล้ว อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี ก็ค่อยให้ผู้ซื้อทำเรื่องขอกู้ซื้อจากธนาคารโดยตรง
               กลยุทธ์แบบนี้อาจไม่ค่อยเห็นทำกันในบ้านเรา ซึ่งผู้สันทัดกรณีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะกลยุทธ์แบบนี้ ทำแล้วจะมีความเสี่ยงค่อนข้างจะสูง เนื่องจากในเมืองไทยของเรานั้น ระยะเวลา 3 ปี และ 5 ปี อาจไม่มีการันตีใดๆ ได้เลยว่าผู้ซื้อบ้านนั้นจะสามารถกู้ยืมธนาคารได้ เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้กู้ด้วย

                8. ยึดทรัพย์สินขายทอดตลาด (Foreclosures) ระบบนี้ นิยมทำกันมากในประเทศสหรัฐฯ นั่นคือเจ้าของบ้านที่มีปัญหาและไม่อาจสามารถผ่อนชำระคืนได้อีกต่อไป ธนาคารก็จะนำมาขายทอดตลาดเพื่อให้หักกลบลบหนี้ ซึ่งการขายทอดตลาดแบบนี้ได้รับความนิยมมากในหมู่นักล่ากำไร(Bargain Hunters) เพราะมีโอกาสที่จะพบเจอทรัพย์สินดีๆ ในราคาต่ำกว่าตลาดได้
              แต่ในบางประเทศ เจ้าของอสังหาฯ ที่มีปัญหา อาจเป็นผู้ดำเนินการขายทอดสู่ตลาดเอง โดยโฆษณาตรงไปยังผู้ซื้อหรือนักลงทุนต่างๆในหน้าหนังสือพิมพ์ ในลักษณะ “ต้องรีบขาย” หรือ “จำเป็นต้องขาย” ผ่านวิธีการประมูล เพื่อให้ขายได้ราคาดีที่สุด
              ในเมืองไทยเรา บ้านที่ขายทอดตลาด ซึ่งดำเนินการผ่านกรมบังคับคดี มักไม่ค่อยพบเจอบ้านดี ราคาถูกสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ซื้อมาแล้วมักมีปัญหา เช่นบ้านทรุดโทรมมากกว่าที่ควรจะเป็น หรือเจ้าของเดิมไม่ยอมย้ายออก ส่วนบ้านดีๆ ทำเลน่าสนใจ มักถูกชิงซื้อไปก่อนที่จะขายทอดตลาดแล้ว
              กลยุทธ์แบบนี้ในบ้านเรา ที่ทำกันแล้ว ดูจะได้ผลดีมากที่สุด ก็คือการขายอสังหาริมทรัพย์ที่หลุดขายฝาก ให้กับผู้สนใจในราคาต่ำกว่าตลาด เพื่อทำกำไร

ที่มา home.co.th
คอนโดโครงการใหม่ << ติดตามได้ที่นี่

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

3 วิธีซื้อคอนโดฯให้ดีและถูก

3 วิธีซื้อคอนโดฯให้ดีและถูก


ช่วงนี้ตลาดของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเรากำลังเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ (Buyer’s Market) โดยเฉพาะในกลุ่มของสินค้าคอนโดฯ ทำให้โอกาสที่จะเจรจาต่อรองราคากันเพื่อให้ได้ของดีราคาถูกเป็นไปได้สูงและเปิดกว้างกว่า วิธีกลยุทธ์เจ๋งๆที่นิยมทำกันมีดังนี้

1.เจรจาซื้อก่อนพรีเซลล์

เป็นกลยุทธ์ที่นักเก็งราคากำไรคอนโดใหม่ ในประทศบ้านเรากำลังนิยมทำกันมากในเวลานี้ โดยอาศัยเพียงเส้นสาย ความสัมพันธ์และการทำความรู้จักมักคุ้นเจรจากับเจ้าของโครงการในแบบ “คนใน (insider)” เพื่อขอซื้อห้องชุดลักษณะดีๆ ราคาพิเศษก่อนที่โครงการจะเปิดขายพรีเซลล์ เพื่อรอเวลาการขายต่อเพี่อทำกำไรในช่วงที่โครงการเปิดขายพรีเซลล์

กลยุทธ์แบบนี้ปกติแล้วจะเกิดจากความยินยอมของเจ้าของโครงการเอง ส่วนใหญ่มักจะทำกันเงียบๆ แต่ก็มีบางแห่งก็ถึงขั้นโฉ่งฉ่างถึงขั้นจัดเป็นรอบขายพิเศษเพื่อลูกค้า ระดับ VIP โดยตรงเลยก็มีโดยแรงจูงใจก็คือทำแล้วโครงการได้ประโยชน์ตรงที่มั่นใจยิ่งขึ้นว่าจะมียอดขายพรีเซลล์มาโชว์ธนาคารได้แน่ๆ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการไม่ได้รับการสนับสนุนเงินกู้น้อยลง

นอกจากนั้น ยอดขายที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาก่อนเปิดพรีเซลล์ยังเท่ากับเป็นการปั่นราคากระตุ้นให้การขายรอบพรีเซลล์มีความร้อนแรงยิ่งขึ้นได้ด้วย เพราะทำให้ซับพลายห้องชุดมีน้อยลงกว่าปกติจึงต้องแย่งซื้อกัน

จริงๆแล้วยังมีเหตุผลลึกๆ อีกอย่างหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้รู้กัน นั่นคือแรงจูงใจในเรื่องผลประโยชน์ร่วมใต้โต๊ะระหว่างคนในกับคนที่ซื้อไปขายต่อทำกำไร ว่ากันว่านี่คือรายรับนอกบัญชี ที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว

2.รวมกลุ่มเจรจาซื้อจำนวนมากเพื่อขอส่วนลด

การเจรจาซื้อในลักษณะ “ผู้ค้าส่งอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Wholesaler)” คือขอซื้อทีละมากๆ ในราคาขายส่งเพื่อนำไปจัดสรรแบ่งกันภายในกลุ่มหรือนำไปขายต่อทำกำไร เป็นอีกวิธีที่นิยมกันอย่างมากกับโครงการคอนโดใหม่ในบ้านเรานี้ และมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ค่อนข้างสูง เนื่องจากยอดขายในช่วงแรกๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกับความเป็นไปได้ของโครงการมาก

เท่าที่สำรวจพบว่ามีโอกาสได้ส่วนลดสูงถึง 35% จากราคาขายปกติเลยทีเดียว นอกจากนี้ผู้ซื้อยังมีโอกาสเจรจาต่อรองขอเลือกห้องชุดที่ดีที่สุด เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อขายห้องไปแล้วนั้นจะได้รับผลกำไรและประโยชน์สูงสุด

ในทางปฎิบัติแล้วผู้ซื้ออาจเลือกที่จะซื้อห้องชุดทั้งหมดในชั้นเดียวกันหรือซื้อทั้งโครงการ บางครั้งก็อาจจะเลือกเฉพาะห้องชุดที่ต้องการมากที่สุด นั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขส่วนลดต่างๆที่จะได้รับและโอกาสในการขายต่อทำกำไร

3.ซื้อเป็นเงินสดแล้วขอส่วนลด

หลักคิดนี้อยู่บนขั้นพื้นฐานข้อเท็จจริงที่ว่าในตลาดผู้ซื้อที่มีเงินสดมากๆ มีอยู่ค่อนข้างน้อยดังนั้นใครก็ตามที่มีเงินสดอยู่ในมือก็จะมีอำนาจต่อรองสูง สามารถเจรจากับผู้ขายเพื่อขอซื้อสังหาฯ เป็นเงินสดเพื่อแลกกับส่วนลดมากๆได้ เป้นกลยุทธ์ขั้นพื้นฐานรูปแบบหนึ่งที่นอกจากจะใช้ได้ดีกับสินค้าราคาแพงทั่วไปแล้วยังใช้กันอย่างแพร่หลายกับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์แบบกลุ่มที่ธนาคารไม่ค่อยปล่อยกู้ เช่น ที่ดิน,ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือแม้กระทั่งการซื้อขายบ้านหรือคอนโดฯ ในช่วงที่ธนาคารกำลังเข้มงวดปล่อยกู้

ทั้งนี้ส่วนลดจะมากหรือจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องในการซื้อขายของตัวสินค้านั้นเป็นสำคัญ กรณีของอสังหาริมทรัพย์แล้วเนื่องจากเป็นสินค้าที่ขายยากมาก จึงมีโอกาสที่จะเจรจาขอส่วนลดได้มากกว่าสินค้าประเภทอื่น และส่วนลด นี้ถ้าหากมีนัยสำคัญมากเพียงพอก็จะสามารถขายต่อทำกำไรได้เลย แต่วิธีที่ทำกันมากที่สุดซึ่งช่วยให้ขายต่อได้ง่ายและได้ราคาขึ้นก็คือนำมาขายแบบผ่อนกัน ภายใต้เงื่อนไขกำหนดเงินดาวน์และผ่อนส่งไม่มาก ซึ่งในแง่การลงทุนแล้วเรียกว่าเป็นกลยุทธ์ “ซื้อสดมาขายผ่อน (Buy for Cash, Sell for Credit)” นั่นเอง

ตัวอย่างการนำกลยุทธ์ลักษณะนี้ไปใช้กับอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเจรจาซื้ออาคารแห่งหนึ่งเป็นเงินสดในราคา 2,400,000 บาท และขายต่อให้กับผู้ซื้อที่ยังไม่พร้อมกู้ยืมเงินในราคา 3,000,000 บาท โดยเรียกเงินดาวน์เพียง 300,000 บาท ผ่อนดาวน์ได้ 10 งวด ส่วนที่เหลือค่อยให้ลูกค้ากู้ยืมเงินจากธนาคารต่อไป

ที่มา homeinthai

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

10 ข้อผิดพลาดการซื้อบ้าน-คอนโดมือสอง

10 ข้อผิดพลาดของการซื้อบ้าน-คอนโดมือสอง


       การซื้อหา บ้าน และคอนโดมิเนียม หรือที่อยู่อาศัย มีได้ไม่กี่ครั้งในชีวิตของคนส่วนใหญ่ แม้จะเป็นบ้านและคอนโดมือสองก็ตาม เพราะต้องใช้เงินในการดาวน์ไม่น้อยเลย การผ่อนเป็นเวลานานหลายปี ทำให้ถ้าพลาดแล้ว ยากที่จะแก้ปัญหาได้ สิ่งที่คุณควรต้องทำคือ ป้องกันไว้ก่อน จากการพบเห็นประสบการณ์ของคนอื่นที่เคยพลาดมาแล้ว ซึ่งโฮมบายเออร์ไกด์ รวบรวมมาให้แล้วทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ครับ

1. หลงความสวยงาม มากกว่าทำเล
       คนทั่วไปมักติดกับดักเรื่องความงาม แต่เรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว ทำเลเป็นเรื่องสำคัญกว่าความงามบ้านมือสองหลายๆหลังที่ถูกประกาศขายมักเป็นบ้านที่เคยมีคนอยู่อาศัยแล้ว เป็นแบบบ้านรุ่นเก่า สีสันอาจจะดูเก่าไปตามอายุ แต่บ้านเหล่านี้ ก็มักจะอยู่ในทำเลที่ดีกว่าบ้านใหม่ อยู่ในเมืองมากกว่า ใกล้ระบบขนส่งและสาธารณูปโภคมากกว่า ฉะนั้นอย่าได้หลงความงามเลย ว่ากันว่าอยากทำให้บ้านใหม่ ก็ทำได้เพียงแต่ทาสีใหม่เท่านั้นแหละ แต่อยากได้ทำเลใหม่นี่ต้องซื้อใหม่อย่างเดียวเลย

2. เลือกบ้านสวยแต่ชุมชนและสภาพแวดล้อมแย่
       นอกจากคุณจะซื้อบ้านเดี่ยวในท่ามกลางป่าเขา ส่วนใหญ่แล้วการที่ต้องอยู่ร่วมกับบ้านใกล้เคียงคือสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้  ดังนั้น อย่าลืมสำรวจบ้านอื่นๆ รอบข้าง หรือสิ่งแวดล้อมในระแวกใกล้เคียงนั้นด้วยว่ามีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร ทั้งความสะอาดและลักษณะของเพื่อนบ้านใกล้เคียง ยิ่งคุณมีลูกหลาน ยิ่งต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เขาเกิดขึ้นมากับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี นอกจากนั้น สภาพชุมชนรอบข้างที่แย่ก็อาจทำให้มูลค่าบ้านลดลง อีกทั้งในภายหลังเมื่อย้ายมาอยู่ ก็อาจต้องเจอปัญหาอีกสารพัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเดินทางเข้าออก ความปลอดภัย และสภาพจิตใจของทุกคนในครอบครัว ซึ่งคุณควรให้วามสำคัญอันดับแรก และอย่าลืมว่า ไม่จำเป็นที่บ้านต้องราคาแพงหลายล้าน ถึงจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีได้ บ้านราคาที่่พอจะซื้อหาได้แต่มีชุมชนที่ดียังมีอีกมาก แค่ใช้เวลาเลือกอีกซักหน่อยคุณจะพบบ้านหรือคอนโดที่สภาพแวดล้อมดีได้

3. หลีกเลี่ยงการซื้อจากนายหน้า
       หลายคนมักรังเกียจนายหน้า มักคิดว่าการซื้อบ้านมือสองผ่านนายหน้าจะทำให้มีราคาแพงกว่าปกติ เพราะราคาบ้านจะถูกบวกเข้าไปกับค่านายหน้า แต่อันที่จริงแล้ว นายหน้ามืออาชีพจะเป็นผู้ให้แนะนำผู้จะขายว่าราคาขายที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร ไม่สูงเวอร์หรือต่ำเกินไป ข้อดีของการซื้อผ่านนายหน้าก็คือนายหน้าจะช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายให้เราทั้งหมด ช่วยดูแลในเรื่องความเรียบร้อยของบ้าน และที่สำคัญก็คือ ซื้อผ่านนายหน้าก็ต่อราคาได้

4. อย่ารีบร้อนเกินไป ใจเย็นที่สุด
       อย่าตัดสินใจซื้อทันทีที่ชอบ จงใช้เทคนิคซื้อบ้านเพียง 1 หลัง อาจเลือกและต่อรองจากบ้านมากกว่า 1 หลัง เพื่อเลือกซื้อบ้านที่มันมีราคาและเงื่อนไขดีที่สุด ปกติแล้ว คนทั่วไปเวลาซื้อบ้านสักหลัง จะเลือกซื้อจากบ้านที่พิจารณาเพียงแค่ 1-3 หลังเท่านั้น ซึ่งทำให้คุณเสียโอกาสในการซื้อบ้านในราคาถูกไป เทคนิคที่ดีที่สุดก็คือ แม้ว่าจะเป็นการซื้อบ้านเพียงหลังเดียว แต่ก็ควรจะเลือกบ้านที่ดีที่สุด จากบ้านจำนวนมากหลังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้ระลึกไว้เสมอว่ายิ่งมีบ้านให้เลือกมากเท่าใด ก็จะยิ่งเกิดประโยชน์กับผู้ซื้อมากขึ้นเพียงนั้น

5.ซื้อบ้านไม่รู้ประวัติ
       ฟังดูอาจจะดูเรื่องมากไปนิด คิดต่างที่ดีก่อนจะซื้อ ควรจะหาโอกาสไปคุยกับเพื่อนบ้านดูสักหน่อยว่าเจ้าของบ้านเดิมเป็นใคร เคยมีเหตุการณ์สยองขวัญในบ้านหรือคอนโดห้องดังกล่าวหรือไม่ ถ้าหากมารู้เอาภายหลังเมื่อซื้อมาแล้ว อาจทำให้อาศัยอยู่ไม่เป็นสุขกันล่ะคราวนี้

6. ไม่สอบถามเรื่องค่าสาธารณูปโภคค้างจ่ายจากเจ้าของเก่า
       ข้อนี้ให้พูดคุยสอบถามกันให้ชัดเจนก่อนซื้อ เพราะได้มีเหตุการณ์ที่เจ้าของคอนโดฯ เดิมซื้อมานานแล้วไม่เคยเข้าไปอยู่อาศัยเลย ค่าส่วนกลางก็ไม่เคยเสีย เวลาล่วงเลยมาหลายปีจึงตัดสินใจที่จะขาย กฎหมายกำหนดให้ผู้ขายจะต้องมีหนังสือรับรองยืนยันปลอดภาระหนี้จากนิติบุคคล หากไม่มี ต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อนว่าใครจะเป็นผู้รับภาระหนี้สิน  และจะต้องชำระก่อนการโอนด้วย เพื่อให้ได้หนังสือรับรองดังกล่าวมาเป็นส่วนประกอบการโอน

7. ไม่สอบถามผู้เชี่ยวชาญ และเชื่อแต่ตัวเอง
       ในการลงทุนของบ้านมือสอง ถ้าเกิดข้อสงสัยขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่ารีบด่วนตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปเป็นอันขาด  ให้ถามหรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญเสมอ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ล้วนแล้วอยู่ใกล้ตัวท่านอยู่แล้ว เช่น ผู้ประเมินราคา ช่างก่อสร้าง เจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรือนักกฎหมาย ฯลฯ
ที่ต้องทำอย่างนี้ ก็เพราะว่า โดยปกติแล้วต้นทุนในการใช้บริการผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดนั้น น้อยกว่ากันลิบลับอย่างเทียบกันไม่ติดเลย

8.คิดเรื่องซ่อมหลังซื้อ (จงคิดเรื่องซ่อมแล้วค่อยซื้อ)
       นี่เป็นข้อผิดพลาดอีกประการหนึ่ง ในการเลือกซื้อบ้านมือสองในปัจจุบัน ก็คือ คนส่วนใหญ่มักจะคิดเรื่องการซ่อมแซม หลังจากที่เลือกซื้อบ้านมาแล้ว ซึ่งที่ถูกต้องแล้วการซ่อมแซม ควรจะเป็นประเด็นที่ต้องมีการหยิบยกมาพิจารณาก่อนที่คิดจะซื้อบ้านเสมอ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้การลงทุนของคุณนั้นมีความปลอดภัย และช่วยประหยัดงบในการลงทุน เนื่องจาก การประมาณการของต้นทุนค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมล่วงหน้า จะทำให้ทราบถึงต้นทุนที่แท้จริงในการลงทุน และสามารถหยิบยกข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการต่อรองราคาซื้อขายบ้านให้ต่ำลงได้เป็นอย่างดี

9. ให้ความสำคัญกับวัสดุ มากกว่าช่างซ่อมบ้าน
       เมื่อได้เลือกซื้อบ้านมือสองมาแล้ว ก็ถึงคราวซ่อมแซมและตกแต่ง  ปัญหากวนใจอันหนึ่ง ก็คือเรื่องการเลือกใช้ช่างก่อสร้างกับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง ซึ่งถ้าเลือกใช้ของดีทั้งคู่ ก็จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในจำนวนมาก ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าจำเป็นที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากมีงบประมาณจำกัด ดังนั้นก็ควรจะให้น้ำหนักความสำคัญสิ่งไหนมากกว่ากันถึงจะดี
       กรณีแบบนี้คำตอบง่ายๆ ก็คือ ต้องเน้นที่ช่างก่อสร้างที่มีฝีมือ เป็นสำคัญ  โดยวัสดุก่อสร้างขอให้ถือเป็นเรื่องรอง ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะช่างที่มีฝีมือ สามารถช่วยแก้ปัญหาตำหนิหรือความไม่สวยงามที่เกิดจากวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างได้ แต่ถ้าใช้ช่างที่ไม่มีฝีมือและขาดความชำนาญเมื่อไหร่ แม้จะใช้วัสดุก่อสร้างดีแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่วายต้องเจอปัญหาเปลืองค่าใช้จ่าย และทำให้บ้านขาดความสวยงามได้

10. ไม่ดูสัญญาให้ดีก่อนตกลงซื้อขายบ้านหรือคอนโดมือสอง
       สัญญาจะซื้อจะขายเป็นเรื่องสำคัญ ระหว่างผู้จะซื้อกับผู้จะขาย ส่วนใหญ่จะดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ต่างๆ  มากรอกรายละเอียดกันเอง ฉะนั้นต้องดูเรื่องการวางเงินมัดจำ ค่าปรับหรือเรื่องการผิดสัญญาของแต่ละฝ่ายให้ดี เพราะหากไม่รัดกุม เมื่อคนขายได้ผู้ซื้อรายใหม่ที่ให้ราคาดีกว่า เขาอาจยกเลิกสัญญาไปเสียดื้อๆ ก็ได้ และที่สำคัญ เรื่องค่าใช้จ่ายในการทำนิติกรรม  ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีเงินได้ ใครจะเป็นผู้ออก

คอนโดโครงการใหม่ สามารถติดตามได้ที่นี่  http://home.sanook.com/6559/
ที่มา home.co.th

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ไอเดียจัดสวนสวยที่บ้าน และคอนโดที่ใช่ในสไตล์คุณ

ไอเดียจัดสวนสวยที่บ้าน และคอนโดที่ใช่ในสไตล์คุณ

        สวนสวยๆที่ใครก็อยากมี แต่ทว่ากว่าจะได้สวนสวยมานั้น จะต้องรู้จักแต่ละสไตล์ของการจัดสวนซะก่อน ว่าแต่ละคนนั้ชอบสวนสไตล์ไหน และการจัดสวนสวยๆแบบไหนเข้ากับเราที่สุด ตามมาจ้า

        แบบบ้านพักที่อาศัยในปัจจุบันมีหลายลักษณะทั้งแบบบ้านเดี่ยว แบบบ้านทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถวหรือแม้กระทั่งคอนโดมิเนียม ดังนั้นการจัดสวนในที่พักอาศัยจึงมีหลายลักษณะตามความเหมาะสมของพื้นที่ ซึ่งเราสามารถดัดแปลงสวนในสไตล์ต่างๆตามความชอบ มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับพื้นที่บ้าน และคอนโดใหม่ของเราได้ วันนี้เราได้คัดสไตล์การตกแต่งสวนที่เป็นที่นิยมมาฝากเพื่อนๆที่กำลังมองหาไอเดียอยู่ค่ะ

        การจัดสวนญี่ปุ่น มีพัฒนาการมาจากการจัดสวนถาด (Tray Garden) ซึ่งเป็นศิลปะของญี่ปุ่นแขนงหนึ่ง สวนแบบญี่ปุ่นจะไม่ตกแต่งต้นไม้ให้เยอะจนแน่น แต่จะใช้ลักษณะของการเชื่อมสเปซด้วยที่ว่าง องค์ประกอบน้อย มีการเว้นจังหวะตามหลักการคิดแบบเซน ซึ่งเดิมทีจัดสวนเพื่อให้เอื้อต่อการทำสมาธิ แบบสวนญี่ปุ่นเป็นสวนที่สร้างขึ้นเพื่อจำลองความสวยงดงามของฉากทิวทัศน์ตามธรรมชาติมาจัดวางอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นเราจะเห็นองค์ประกอบของธรรมชาติครบในการแต่งสวนประเภทนี้ ทั้งต้นไม้ น้ำ หิน กรวด  

        Copying Nature เนื่องจากเป็นแบบสวนที่ได้จำลองมาจากทิวทัศน์ธรรมชาติ จึงควรจะมีองค์ประกอบของต้นไม้ โขดหิน น้ำ ครบทุกอย่าง การปลูกต้นไม้ มักจะไม่ปลูกต้นไม้สูงใกล้บ้าน เพราะต้นไม้จะบดบังความงดงามของสวนเมื่อมองจากบ้าน  พรรณไม้ที่นำมาใช้ปลูก ควรเป็นพันธุ์ที่โตไม่เร็วมาก เพราะสวนญี่ปุ่นนั้นจะค่อนข้างนิ่ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ไผ่ บอนไซ ไม้ดัด  ชาข่อย สนแคระหรือต้นสนพันธุ์เตี้ย  สนเลื้อย เข็มญี่ปุ่น เฟิน มอส เป็นต้น นอกจากนี้ การวางก้อนหินไว้ในที่โดดๆหรือกำแพงหิน จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศได้ดีมาก ควรเป็นหินที่ดูเป็นธรรมชาติ ไร้การปรับแต่ง ส่วนสำหรับบ้านที่มีบริเวณน้อย การเอาแหล่งน้ำมาอยู่ในการจัดสวนอาจปรับเป็นบ่อน้ำเล็กๆ นอกจากนี้องค์ประกอบอื่นๆเช่น รั้ว ที่นั่งเล่น ควรเป็นวัสดุที่ดูธรรมชาติ เพื่อให้กลมกลืนกันไปทั้งหมดค่ะ

        การจัดสวนแบบ บาหลี เป็นแบบสวนในโซนเขตร้อนที่ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากสภาพอากาศซึ่งใกล้เคียงกับประเทศไทย แบบสวนบาหลีนั้น จะสะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมในท้องถิ่น สิ่งที่โดดเด่นในสวนประเภทนี้ ก็คือการตั้งประติมากรรมต่างๆ เช่น เทวรูป สิงห์ ฯลฯ หินที่สลักจากหินภูเขาไฟ ซึ่งมีรูพรุนพอที่พืชอย่างมอสหรือเฟิร์นจะขึ้นคลุมผิวได้ ลักษณะของการแต่งสวนจะร่มครึ้มด้วยพรรณไม้ของไม้ชนิดต่างๆ โดยที่นิยมใช้คือ ลั่นทม ชบา กล้วยประดับ เฮลิโคเนีย พลับพลึง โกสน เฟินชนิดต่างๆ เป็นต้น

        Bali  A Sacred Garden ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของการจัดสวนบาหลี คือ การใช้สระน้ำ คูน้ำ หรือแหล่งน้ำให้เป็นเครื่องสะท้อนภาพต่างๆ ที่ปรากฏในสวน ทำให้สวนนั้นดูศักดิสิทธิ์มากขึ้น ตามคติของศาสนาฮินดู บ่อน้ำจะนิยมทำเป็นบ่อรูปทรงสี่เหลี่ยม ค่อนข้างตื้น และปลูกไม้น้ำ ในบ้านที่มีพื้นที่เล็กๆอาจใช้บ่อน้ำเล็กๆหรืออาจทำเป็นหัวสิงห์พ่นน้ำก็ได้ การแบ่งบริเวณในการจัดสวนมักจะใช้กำแพงก่ออิฐเตี้ยๆ นอกจากนี้ แสงสว่างที่ส่องเน้นในบริเวณสวนในยามค่ำคืนยังช่วยส่งเสริมให้แบบสวนบาหลีนั้น มีบรรยากาศที่ดูมีมนต์ขลังมากขึ้นอีกด้วย

        แบบสวนโมเดิร์น มีที่มาจากการลอกเลียนแบบของธรรมชาติ เช่นเดียวกับสวนแบบอื่นๆ แต่ไม่จำกัดเฉพาะบ่อน้ำ น้ำตก หรือภูเขา แต่รวมถึงตัวอาคารและตึกรามบ้านช่อง และสภาพแวดล้อมใกล้ตัว สวนแบบโมเดิร์นมักจะตัดทอนรายละเอียดของธรรมชาติ เน้นการใช้แนวเส้นและรูปทรงของเรขาคณิต ที่เรียบง่ายในการออกแบบ หากเปรียบเทียบการจัดสวนแบบนี้เหมือนภาพวาด แบบสวนโมเดิร์นจะเหมือนภาพวาดแอ๊บสแตร็คท์ (abstract) ที่สื่อความหมายเป็นนามธรรม คือมีสัญลักษณ์มากมายให้ตีความหรือจินตนาการจากภาพที่เห็น
        Modern Garden For Modern Living…เป็นแบบสวนที่ โดยใช้วัสดุตกแต่งที่ดูทันสมัยเข้ามาประกอบ เช่น รูปประติมากรรมต่างๆ การออกแบบอาจสื่อความหมายถึงบางสิ่ง ไม่นิยมใช้พรรณไม้ปริมาณมากๆ แต่เลือกใช้เฉพาะต้นที่มีรูปทรงที่โดดเด่น ด้วยความที่สวนประเภทนี้มีการลดทอนมาก จึงมีข้อดีในเรื่องการดูแลที่ง่ายและเหมาะกับพื้นที่แคบ เพราะจะทำให้สวนโปร่งโล่ง ไม่รกทึบ ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้ดี แต่ขณะเดียวกันสวนลักษณะนี้ก็ไม่เหมาะกับสภาพพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดจัด เพราะจะทำให้ผู้ที่อยู่ในสวนรู้สึกไม่สบายตัว เนื่องจากร่มเงาของต้นไม้น้อยจึงไม่ค่อยร่มรื่น

        แบบสวนประดิษฐ์ หรือเรียกว่าแบบสวนฟอร์มัล (Formal Garden) การตกแต่งสวนประเภทนี้เน้นเรื่องความสมดุลซ้าย ขวา กึ่งกลางจะเป็นจุดเด่นที่นิยมวางรูปปั้นหรือน้ำพุ โดยมีฉากหลังจะเป็นตัวอาคารที่ดูโอ่อ่า เราจึงจะเห็นสวนฟอร์มัลกันมากในงานประเภทพระราชวัง ปราสาทหรือสถานที่ราชการซึ่งมีพื้นที่เยอะ ไม่นิยมเล่นระดับสูงต่ำ ใช้การแบ่งบริเวณต่างๆในสวนด้วยทางเดินที่มักจะเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้งที่เกิดจากวงกลม รูปทรงของต้นไม้ในสวน มักเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ยึดตามการออกแบบในแปลน พรรณไม้หลักที่ใช้จึงต้องเป็นทรงพุ่มแน่น เช่น เทียนทอง ชาดัด ข่อยดัดและเฟื่องฟ้า ซึ่งต้องได้รับการตัดแต่งอย่างดี ทำให้สวนประเภทนี้จะต้องได้รับการดูแลให้เรียบร้อยอยู่เสมอ

        Make Formal Becomes Personal หลายๆคนมักอาจจะชอบสไตล์นี้ แต่ไม่รู้ว่าจะดัดแปลงมาใช้กับบ้านและคอนโดของคุณยังไงใช่มั้ยคะ ในพื้นที่เล็กๆ เราก็คงไม่สามารถจัดสวนแบบสมดุลซ้าย ขวาและดูโอ่อ่าได้ เราจึงอาจหยิบยืมสไตล์ในการตัดแต่งต้นไม้เป็นพุ่มเรขาคณิต หรือการใช้รูปปั้น ไปจนถึงน้ำพุมาตกแต่งเป็นจุดเด่นในสวนได้เหมือนกัน อาจมีบริเวณที่นั่งเล่น ทำระแนงไม้บังแดดแล้วให้ต้นไม้เลื้อยไปตามระแนง ก็ลดความแข็งของรูปทรงในสวนฟอร์มัลได้  
ถึงแม้ว่าการจัดสวนจะมีสไตล์ต่างๆกันดังกล่าวข้างต้น ทั้งยังมีสวนประเภทอื่นๆนอกเหนือจากนี้ที่คุณสนใจ แต่เราสามารถผสมผสานความชอบลงไปในสวนของคุณได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสวนที่มีสไตล์เด่นชัดเพียงสไตล์เดียว อย่างไรก็ดีการผสมผสานการตกแต่งสวนดังกล่าวก็ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญด้วยเช่นกัน คุณอาจขอคำแนะนำจากแลนด์สเคป ดีไซเนอร์หรือแม้กระทั่งคนสวนของคุณเอง เมื่อได้สวนสวยสมใจแล้ว สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ที่จะลืมไม่ได้ก็คือการดูแลค่ะ สวนก็มีชีวิตนะคะ ถ้าไม่ดูแลมันก็สามารถเหี่ยวเฉาโรยราได้ หมั่นรดน้ำใส่ปุ๋ย ตัดแต่งต้นไม้ สวนของคุณก็จะได้อยู่กับคุณไปอีกนานเท่านานค่ะ

ที่มา : forfur

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เสนอเคล็ดลับ ซื้อคอนโดปล่อยให้ต่างชาติเช่าอาศัย

เสนอเคล็ดลับ ซื้อคอนโดปล่อยเช่าต่างชาติ “อเมริกัน ยุโรป เอเชีย”

         ผลสำรวจของตลาดคอนโดในฝันของชาวต่างชาติล่าสุดโดย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้แจงไม่ใช่แค่ทำเลที่ตั้งของโครงการ เท่านั้นที่ต่างชาติให้ความสำคัญ การออกแบบดีไซน์ที่ตอบโจทย์ในทางวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่แตกต่างและ ความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ก็สำคัญไม่แพ้กัน
         นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานด้านการบริหารสินทรัพย์ ของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้เปิดเผยว่า ในปัจจุบันตลาดการซื้อ-ขายและเช่าอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยในส่วนของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ  ได้เริ่มมีการพัฒนาที่สูงขึ้นกว่าในอดีต โดยจากผลสำรวจในกลุ่มของผู้เช่าในแถบประเทศ กลุ่มเอเชีย กลุ่มยุโรป และกลุ่มอเมริกา ล่าสุดพบว่า ในการดำเนินชีวิตของชาวต่างชาติที่มีการเข้ามาประกอบธุรกรรมต่างๆ ในประเทศไทย จะมีต้องการความละเอียดอ่อนในการดำเนินชีวิตให้มากขึ้นกว่าอดีต ดังจะเห็นได้จากการสร้างในชุมชนเพื่อความเป็น กลุ่มก้อนในการอยู่อาศัยให้มากยิ่งขึ้น อันเป็นสัญญาณที่ดีที่จะเชื่อได้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังจะเติบโตอย่างเป็นแบบแผน

         สามารถแบ่งออกเป็นตลาดผู้เช่า “กลุ่มยุโรป-อเมริกัน” พบว่า พฤติกรรมยังเลือกโซนพื้นที่ ราชดำริ เพลินจิต และแนวรถไฟฟ้าย่านสุขุมวิทตอนต้น ส่วนใหญ่และจะเลือกเช่าคอนโด ตามแนวรถไฟฟ้าสถานีสุขุมวิทเป็นหลัก แต่จะกระจายออกไปยังย่านราชดำริ เพลินจิต หลังสวน สุขุมวิทตอนต้น และมีแนวโน้มที่จะกระจายตัวไปยังย่านสุขุมวิทตอนปลาย อยู่กันแบบกระจายตัวไม่เป็นชุมชนเหมือนชาวเอเชีย และผู้เช่านั้นยังมองเรื่องทำเลที่ตั้งและราคาเป็นปัจจัยหลัก

         ในขณะที่ตลาดผู้เช่า “ชาวญี่ปุ่น” เลือกที่จะอาศัยอยู่ในย่านสุขุมวิทตอนกลางระหว่างเขตพื้นที่ อโศกถึงเอกมัย โดยคอนโดในแถวย่านสุขุมวิท 24, 31, 39, 49, 55 (ซอยทองหล่อ) ยังได้รับความนิยมอย่างมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็คือทำเลโซนแถบ สุขุมวิท 23, 26, 53, 60 และซอยเอกมัย เหตุผลสำคัญอันเนื่องมาจาก ผู้เช่าชาวญี่ปุ่น มักจะอาศัยอยู่รวมกันแบบชุมชนเพราะรู้สึกอุ่นใจในเรื่อง ความปลอดภัย และในย่านดังกล่าวยังสามารถตอบโจทย์กลุ่มแม่บ้านของชาวญี่ปุ่นด้วยแหล่งช็อปปิ้งชั้นนำ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร โรงพยาบาล และสถานที่สำคัญสะดวกสบายเรื่องระบบการคมนาคมอันทันสมัย

         ตลาดผู้เช่าของ “ชาวเกาหลี” จะนิยมอาศัยอยู่ในบริเวณย่านพระราม 3 หรือถนนรัชดาภิเษก และมักจะเลือกเช่าพื้นที่ที่พักอาศัยในทำเลที่มี คนชาติเดียวกันเช่าอยู่เดิม เพื่อสร้างความเป็นชุมชนและเพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจ ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ราคาหรืออัตราค่าเช่าห้องถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการพิจารณาเช่าที่อยู่อาศัย ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ถือเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะต้องการลงทุน เพื่อให้เข้าใจและใช้เป็นแนวทางในการเดินตกแต่งและการเลือกใช้บริษัทตัวแทนที่มีฐานข้อมูล ผู้เช่าหรือผู้ซื้อที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวที่สุด

         ประเด็นปัจจัยของการเลือกซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่าแก่ชาวต่างชาติที่นายอนุกูลกล่าวว่า กลุ่มผู้เช่าชาวยุโรปและอเมริกันในระดับผู้บริหารยังนิยมห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ขนาด 150 ตารางเมตรขึ้นไปแต่สำหรับคอนโดแบบ 2 ห้องนอนและขนาด 250 ตารางเมตรขึ้นไปสำหรับคอนโดแบบ 3 ห้องนอน ในขณะที่กลุ่มผู้เช่าที่มาคนเดียวมักจะมองหาห้องที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 60 ตารางเมตร แต่หากเป็นกลุ่มครอบครัวมักนิยมเช่าห้องชุดขนาดพื้นที่ 120 ตารางเมตร

         ส่วนกลุ่มผู้เช่าชาวญี่ปุ่น ไม่นิยมห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก กรณีที่อยู่อาศัยเพียงคนเดียว ห้องพักพื้นที่ 40-50 ตารางเมตรก็เพียงพอแล้วกับความต้องการ แต่ในกรณีที่พักอาศัยเป็นแบบครอบครัวหรือกลุ่มที่มีงบประมาณ ในการเช่าสูงมักจะเลือกเช่าห้องชุดที่มีขนาด 2 ห้องนอนเป็นหลัก

         ส่วนปัจจัยอื่นๆ พบว่า กลุ่มผู้เช่าของชาวยุโรปและอเมริกันมักจะต้องการห้องชุดที่โปร่งโล่ง เรียบง่าย เพื่อตนเองสามารถนำของตกแต่งที่ชอบเข้ามาจัดวางได้ ตามความพอใจ ในขณะที่กลุ่มผู้เช้าชาวเอเชียมักนิยมเช่าห้องชุดในลักษณะที่ตกแต่งครบและพร้อมเข้าอยู่เป็นหลัก โดยสไตล์ที่นิยมคือ โอเรียลทอล ที่นำไม้เข้ามาเป็นองค์ประกอบและตกแต่งด้วยของน้อยชิ้นในสไตล์ Minimalist และนิยมห้องชุดที่มีอ่างอาบน้ำเพื่อแช่ในน้ำอุ่น ยกเว้นในส่วนของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เห็นความสำคัญในเรื่องส่วนกลาง เพื่อออกกำลังกาย อาทิ สระว่ายน้ำและฟิตเนสแทน

“ศักยภาพความพร้อมและน่าเชื่อถือของบริษัทตัวแทนเช่าและบริษัทการบริหารจัดการโครงการถือเป็นหัวใจที่ผู้เช่าทุกชาติให้ความสำคัญมากโดยเฉพาะผู้เช่าที่ต้องพักอาศัยเป็นเวลานาน เพราะนอกจาก จะต้องเลือกบริษัทที่เป็นมิตรสามารถสื่อสารได้สะดวกและสามารถวางใจได้ในฐานะที่ปรึกษาแล้ว คุณภาพของ การบริหารโครงการที่ดีก็ถือเป็นจุดหลักในการประเมินเช่นกัน เพราะเป็นจุดแสดงให้เห็นถึงความสะดวกสบาย ในการพักอาศัยในต่างแดน ดังนั้นความพร้อมของบริการจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากจะลงทุนในเรื่องปล่อยเช่าห้องชุดในระยะยาวแล้วผู้ลงทุนไม่ควรมองข้ามปัจจัยดังกล่าว” นายอนุกูลกล่าวสรุป

ที่มา cmc.co.th
ติดตาม โครงการคอนโดใหม่ ปีหน้าได้ทีนี่